รู้จัก Marketing Mix Modeling (MMM) กับ Multi-Touch Attribution (MTA) เพื่อการวิเคราะห์ประสิทธิภาพแคมเปญ : [ MarTech Basic EP.18 ]
martech-basic 20 Oct 2025
Author : superadmin
ในโลกการตลาดปัจจุบัน เงินลงทุนมหาศาลถูกใช้ไปกับสื่อและเทคโนโลยีการตลาด (MarTech) คำถามสำคัญสำหรับผู้บริหารทุกคนคือ: “ช่องทางไหนที่ทำให้เกิดยอดขายจริง ๆ และเราควรเพิ่มงบประมาณที่ไหน?”
คำตอบของคำถามนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนสมัยก่อนที่ลูกค้าแค่เห็นโฆษณาทางทีวีแล้วเดินเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อสินค้า เส้นทางของลูกค้าในยุคดิจิทัลนั้นซับซ้อนเกินกว่าจะให้เครดิตกับช่องทางใดช่องทางหนึ่งได้ทั้งหมด
ดังนั้นจึงเกิดเครื่องมือวิเคราะห์หลักสองประเภทขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องการลงทุน: Multi-Touch Attribution (MTA) และ Marketing Mix Modeling (MMM)
Part 1: Multi-Touch Attribution (MTA) – การวัดผลแบบละเอียดตามรอยลูกค้าทีละคน
ลองนึกภาพว่า MTA คือ “กล้องจุลทรรศน์” ของนักการตลาด มันถูกออกแบบมาเพื่อ ติดตามพฤติกรรมของลูกค้าทีละคน (User-Level) ตั้งแต่ต้นจนจบ
MTA ทำงานอย่างไร? (วิธีการวัดผลแบบดั้งเดิมในยุคดิจิทัล)
MTA อาศัยเทคโนโลยีการติดตามแบบดิจิทัลที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น คุกกี้ (Cookies) และ พิกเซล (Pixels) เพื่อบันทึกว่าลูกค้าคนหนึ่งได้คลิกหรือเห็นโฆษณาของเราที่ไหนบ้าง ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เช่น
- ลูกค้าเห็นโฆษณาใน Facebook
- วันต่อมาค้นหาคำนั้นใน Google
- สุดท้ายคลิกโฆษณา Retargeting ของเราและซื้อสินค้า
MTA จะใช้ รูปแบบการให้เครดิต (Attribution Model) ที่คุณคุ้นเคย (เช่น First-Click, Last-Click) ในการตัดสินใจว่าควรให้เครดิตยอดขายกับ Facebook, Google Search, หรือโฆษณา Retargeting เป็นสัดส่วนเท่าไหร่
จุดแข็งและข้อจำกัดของ MTA
ข้อดี:
- ละเอียดและรวดเร็ว: ให้ข้อมูลเชิงลึกในระดับย่อย เช่น โฆษณาชิ้นไหน คีย์เวิร์ดอะไรที่ได้ผล ทำให้ทีมปฏิบัติการสามารถ ปรับปรุงแคมเปญแบบวันต่อวัน ได้ทันที
- เน้นช่องทางดิจิทัล: เหมาะมากสำหรับการวัดประสิทธิภาพภายในแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ติดตามได้ (Walled Gardens) เช่น Google Ads หรือ Meta Ads
ข้อจำกัด (ปัญหาใหญ่ในยุคนี้):
- ปัญหาคุกกี้และ Privacy: MTA ต้องพึ่งพาการติดตามผู้ใช้รายบุคคล แต่ด้วยกฎหมายความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดขึ้น (GDPR, CCPA) และการที่เบราว์เซอร์เริ่มบล็อกคุกกี้ (Cookieless World) ทำให้ ข้อมูลของ MTA มีช่องว่าง (Data Gaps) ไม่สมบูรณ์ และความแม่นยำลดลงอย่างมาก
- มองข้ามสื่อออฟไลน์: MTA ไม่สามารถวัดผลกระทบของการตลาดแบบดั้งเดิม เช่น โฆษณา TV, วิทยุ, หรือบิลบอร์ด ทำให้การมองเห็นภาพรวมการลงทุนทั้งหมดบิดเบือนไป
- ไม่นับปัจจัยภายนอก: MTA ไม่สามารถบอกได้ว่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากแคมเปญของเราจริง ๆ หรือมาจากปัจจัยภายนอก เช่น การลดราคาของคู่แข่ง หรือเป็นช่วงเทศกาลที่คนซื้ออยู่แล้ว
Part 2: Marketing Mix Modeling (MMM) – การวิเคราะห์ภาพรวมเชิงกลยุทธ์ (Top-Down)
ถ้า MTA คือกล้องจุลทรรศน์ Marketing Mix Modeling (MMM) ก็คือ “กล้องโทรทรรศน์” ที่มองเห็นภาพรวมในระยะยาว มันคือวิธีการวัดผลที่กลับมาได้รับความนิยมอย่างสูงในยุค Cookieless
MMM ทำงานอย่างไร? (วิธีการวัดผลแบบใหม่ที่เน้นภาพรวม)

MMM ไม่ได้สนใจลูกค้าทีละคน แต่มองภาพรวมของธุรกิจในระดับ “มหภาค” โดยใช้ แบบจำลองทางสถิติ (Statistical Models) และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI/Machine Learning) ในการวิเคราะห์ข้อมูลรวม (Aggregated Data)
- รวบรวมข้อมูลใหญ่: เก็บข้อมูลยอดขายรวมรายสัปดาห์/รายเดือน และเปรียบเทียบกับ งบประมาณรวม ที่ใช้ไปใน ทุกช่องทาง (ทั้ง TV, วิทยุ, และดิจิทัล) ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
- รวมปัจจัยภายนอก: นำเอาข้อมูลของ ปัจจัยภายนอก (External Factors) ที่มีผลต่อยอดขายเข้ามารวมด้วย เช่น วันหยุดนักขัตฤกษ์, สภาพอากาศ, ดัชนีเศรษฐกิจ, หรือกิจกรรมโปรโมชั่นของคู่แข่ง
- หาความสัมพันธ์: โมเดลจะคำนวณว่า การเปลี่ยนแปลงงบประมาณในแต่ละช่องทาง (รวมถึงปัจจัยภายนอก) มีผลกระทบต่อ ยอดขายรวมที่เกิดขึ้นจริง อย่างไร
ผลลัพธ์ของ MMM คือตัวเลข ROI (Return on Investment) ที่เป็นตัวเลขจริง ของสื่อทุกประเภท ทำให้ผู้บริหารสามารถ จัดสรรงบประมาณเชิงกลยุทธ์ ในระยะยาวได้อย่างแม่นยำ
จุดแข็งและข้อจำกัดของ MMM
ข้อดี:
- วัดผลได้แบบองค์รวม: เป็นเครื่องมือเดียวที่สามารถวัดผลกระทบของ สื่อออฟไลน์ (TV, บิลบอร์ด) และ สื่อดิจิทัล พร้อมกันได้ ทำให้เห็นภาพรวมการลงทุนที่ถูกต้อง 100%
- เป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว (Privacy-Friendly): เนื่องจากใช้ ข้อมูลรวม ไม่ต้องติดตามลูกค้าทีละคน จึงไม่มีปัญหาเรื่องคุกกี้หรือการบล็อกการติดตาม
- วัดผลระยะยาวและเชิงกลยุทธ์: เหมาะสำหรับการตัดสินใจลงทุน ระยะยาว (รายไตรมาส, รายปี) และสามารถวัด ผลกระทบจากการสร้างแบรนด์ (Brand Building) ได้
ข้อจำกัด:
- ขาดความละเอียด: ไม่สามารถบอกได้ว่า “ครีเอทีฟชิ้นไหน” หรือ “คีย์เวิร์ดไหน” ที่ได้ผล เพราะวิเคราะห์ที่ระดับงบประมาณรวมเท่านั้น
- ต้องใช้ข้อมูลย้อนหลัง: ต้องใช้ข้อมูลยอดขายและการตลาดในอดีตจำนวนมาก (มักจะ 1-2 ปีขึ้นไป) และใช้เวลาในการพัฒนาโมเดล
Part 3: สรุปและทางออกที่ดีที่สุด: การผสานพลังเพื่อการตัดสินใจที่สมบูรณ์
ในการตัดสินใจลงทุนด้าน MarTech และ Media อย่างชาญฉลาดที่สุด นักการตลาดชั้นนำไม่ได้เลือกแค่ MMM หรือ MTA แต่ใช้ทั้งสองอย่างร่วมกันในบทบาทที่แตกต่างกัน:
บทบาทในการตัดสินใจลงทุน
- MMM เป็น “กลยุทธ์หลัก” (Strategic Direction):
- ใช้ MMM ในการตัดสินใจ จัดสรรงบประมาณสื่อหลัก เช่น: ปีหน้าเราควรเพิ่มงบ TV หรือ Digital โดยรวมดี? หรือ งบประมาณ X ควรแบ่งเป็น Search, Social, และ TV ในสัดส่วนเท่าไหร่จึงจะทำกำไรสูงสุด?
- ใช้เป็นเหตุผลหลักในการ ตัดสินใจลงทุนแพลตฟอร์ม MarTech ขนาดใหญ่ (เช่น ระบบ CRM หรือ Data Warehouse) ที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว
- ใช้ MMM ในการตัดสินใจ จัดสรรงบประมาณสื่อหลัก เช่น: ปีหน้าเราควรเพิ่มงบ TV หรือ Digital โดยรวมดี? หรือ งบประมาณ X ควรแบ่งเป็น Search, Social, และ TV ในสัดส่วนเท่าไหร่จึงจะทำกำไรสูงสุด?
- MTA เป็น “ยุทธวิธีปรับปรุง” (Tactical Optimization):
- ใช้ MTA (และเครื่องมือใหม่ ๆ ที่เน้นการติดตามแบบไม่ใช้คุกกี้) ในการ เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญรายวัน ภายในแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น: วันนี้ควรเพิ่มราคาเสนอ (Bidding) โฆษณาที่กลุ่มเป้าหมายไหน? หรือ ควรปิดชุดโฆษณาไหนดี?
- ใช้ MTA เพื่อ เติมเต็มช่องว่าง ที่ MMM ไม่สามารถลงลึกได้
- ใช้ MTA (และเครื่องมือใหม่ ๆ ที่เน้นการติดตามแบบไม่ใช้คุกกี้) ในการ เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญรายวัน ภายในแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น: วันนี้ควรเพิ่มราคาเสนอ (Bidding) โฆษณาที่กลุ่มเป้าหมายไหน? หรือ ควรปิดชุดโฆษณาไหนดี?
ทางออกที่ดีที่สุด: Holistic Measurement
ปัจจุบัน วิธีการที่ก้าวหน้าที่สุดคือการใช้ MMM เป็นเสาหลักในการวัดผลความจริง (Source of Truth) โดยนำผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์ MTA และการ ทดลองแบบเพิ่มขึ้น (Incrementality Testing) มา “ปรับเทียบ (Calibrate)” หรือแก้ไขความคลาดเคลื่อนของ MMM
กล่าวคือ เราใช้ MMM เพื่อบอกว่า “ช่องทางแต่ละช่องทางควรได้รับเครดิตเท่าไหร่ในภาพรวม” และใช้ MTA เพื่อบอกว่า “ในแต่ละวัน เราควรปรับแต่งโฆษณาอย่างไรเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์นั้น”
การผสานรวมเครื่องมือทั้งสองนี้ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้องค์กรสามารถรับมือกับข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวในยุค Cookieless ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงสามารถวัดผลการตลาดได้อย่างแม่นยำและเป็นธรรมต่อทุกช่องทางการลงทุนอย่างแท้จริง
. : รู้จัก PAM Realtime CDP ซอฟต์แวร์การตลาดอัตโนมัติไทย ที่ PAMs.ai : .
Share :
Start using PAM today
Reach every customer steps, make every action count.
Related Blogs