รู้จัก Zero-Party Data (ZPD) และ First-Party Data : ความสำคัญและความแตกต่างในทางการตลาด : [ MarTech Basic EP. 19 ]

martech-basic 25 Oct 2025

Author : superadmin

ในโลกการตลาดยุคดิจิทัลที่ผู้บริโภคใส่ใจความเป็นส่วนตัว (Privacy) มากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA/GDPR) ก็มีบทบาทเข้มงวดขึ้น ข้อมูลจึงกลายเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด และการจะเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นอย่างมีจริยธรรมและถูกต้องตามกฎหมายได้นั้น นักการตลาดจำเป็นต้องรู้จักและเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Zero-Party Data (ZPD) และ First-Party Data (FPD) อย่างลึกซึ้ง

ข้อมูลทั้งสองประเภทนี้คือขุมทรัพย์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคล (Personalization) ที่แม่นยำและมีความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ยั่งยืน บทความนี้จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับข้อมูลทั้งสองประเภทนี้อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ ไปจนถึงวิธีการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. Zero-Party Data (ZPD): ข้อมูลที่ลูกค้าจงใจมอบให้

Zero-Party Data (ZPD) คือ “ข้อมูลที่ลูกค้ามอบให้ธุรกิจโดยตรงและโดยเจตนา” (Data that a customer intentionally and proactively shares with a company)

หัวใจสำคัญของ ZPD คือการที่ลูกค้า “เต็มใจให้” และ “รู้ว่ากำลังให้ข้อมูลอะไร” เพื่อแลกกับมูลค่าหรือประสบการณ์บางอย่างที่พวกเขาจะได้รับเป็นการตอบแทน ข้อมูลประเภทนี้มีความถูกต้อง แม่นยำ และมีคุณค่าสูงที่สุด เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนความตั้งใจและสิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ ในปัจจุบัน

1.1 ความหมายและลักษณะสำคัญของ ZPD

ZPD ไม่ใช่แค่การบอกชื่อหรืออีเมล แต่คือข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความตั้งใจ ความต้องการ และความชอบในอนาคต เช่น:

  • ความตั้งใจในการซื้อ (Purchase Intent): “คุณวางแผนจะซื้อรถยนต์คันใหม่ภายใน 6 เดือนนี้หรือไม่?”
  • ความชอบในผลิตภัณฑ์ (Product Preferences): “คุณชอบกาแฟคั่วเข้ม คั่วกลาง หรือคั่วอ่อน?”
  • บริบทส่วนบุคคล (Contextual Information): “งบประมาณที่คุณตั้งไว้สำหรับทริปนี้คือเท่าไหร่?”, “คุณมักจะซื้อของขวัญให้ใครบ่อยที่สุด?”
  • รูปแบบการสื่อสารที่ต้องการ (Communication Preferences): “คุณต้องการรับข่าวสารผ่านช่องทางใด: อีเมล, SMS, หรือ LINE?”

1.2 ความสำคัญของ ZPD ในยุค Privacy

ZPD คืออนาคตของการตลาดส่วนบุคคลด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้:

  • ความแม่นยำสูงสุด: ZPD บอกสิ่งที่ลูกค้าต้องการ “เดี๋ยวนี้” หรือ “ในอนาคตอันใกล้” ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาจากพฤติกรรมในอดีต (ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้)
  • สร้างความเชื่อมั่น: การขอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา และแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าข้อมูลของพวกเขากำลังถูกนำไปใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ (Value Exchange) ทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่นในแบรนด์
  • ลดการพึ่งพา Third-Party Data: เมื่อเทคโนโลยีการติดตามคุกกี้บุคคลที่สาม (Third-Party Cookies) กำลังจะถูกยกเลิก ZPD จึงเป็นทางออกสำคัญในการเก็บข้อมูลเชิงลึกอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับกฎหมาย

1.3 รูปแบบการเก็บ ZPD

การเก็บ ZPD จะเน้นที่การสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ลูกค้าต้องมีการตัดสินใจและเลือกข้อมูลด้วยตัวเอง เช่น:

  • แบบสอบถาม/แบบสำรวจ (Quiz / Survey): การตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ เช่น “ค้นหากล้องถ่ายรูปที่เหมาะกับคุณ”
  • ตัวสร้างผลิตภัณฑ์/บริการ (Configurators): เครื่องมือที่ให้ลูกค้าเลือกองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ (เช่น สี รุ่น ขนาด) ด้วยตัวเอง
  • Preference Centers: ศูนย์กลางการจัดการความสนใจที่ลูกค้าสามารถเลือกหัวข้อที่ต้องการรับข่าวสาร หรือความถี่ในการติดต่อ

2. First-Party Data (FPD): ข้อมูลพฤติกรรมที่เป็นเจ้าของเอง

First-Party Data (FPD) คือ “ข้อมูลที่ธุรกิจเก็บรวบรวมโดยตรงจากปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับช่องทางของธุรกิจเอง”

FPD เป็นข้อมูลที่ธุรกิจ “เป็นเจ้าของ” และ “ควบคุม” ได้อย่างสมบูรณ์ ข้อมูลประเภทนี้จะบอกว่าลูกค้า “เคยทำอะไร” หรือ “ทำอะไรอยู่” ในช่องทางของแบรนด์

2.1 ความหมายและลักษณะสำคัญของ FPD

FPD เป็นข้อมูลที่ถูกบันทึกโดยอัตโนมัติเมื่อลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับช่องทางดิจิทัลและช่องทางกายภาพของธุรกิจ เช่น:

  • ข้อมูลพฤติกรรมบนเว็บไซต์/แอป: หน้าที่เข้าชม, เวลาที่ใช้ในแต่ละหน้า, สินค้าที่ใส่ตะกร้าแต่ไม่ได้ซื้อ, การคลิกปุ่ม, ประวัติการเข้าสู่ระบบ
  • ข้อมูลการซื้อขาย (Transaction Data): รายการสินค้าที่ซื้อ, วันที่ซื้อ, มูลค่าการสั่งซื้อ, ช่องทางการชำระเงิน, ประวัติการใช้คูปอง
  • ข้อมูลการมีส่วนร่วมกับแคมเปญ (Engagement Data): อัตราการเปิดอีเมล (Open Rate), การคลิกลิงก์ในอีเมล, การโต้ตอบกับแชทบอต
  • ข้อมูลบัญชีลูกค้า: ชื่อ, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, วันเกิด, เพศ (ข้อมูลพื้นฐานที่ลงทะเบียน)

2.2 ความสำคัญของ FPD ต่อการตลาด

FPD เป็นรากฐานสำคัญของทุกกิจกรรมทางการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

  • Segmentation และ Targeting: ใช้แบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมในอดีต เช่น กลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้ามูลค่าสูง (High-Value Customers) หรือกลุ่มที่หยุดซื้อไปนาน (Churn Risk)
  • Retargeting และ Lookalike Modeling: ใช้ข้อมูลผู้ซื้อจริงเพื่อทำการโฆษณาซ้ำ (Retargeting) หรือสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกัน (Lookalike) บนแพลตฟอร์มโฆษณา
  • การวัดผล (Measurement): ใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของแคมเปญทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ เพราะเป็นข้อมูลที่เก็บโดยตรงจากต้นทาง

2.3 แหล่งที่มาของ FPD

FPD สามารถมาจากหลากหลายช่องทางภายใต้การควบคุมของธุรกิจ เช่น:

  • เว็บไซต์/แอปพลิเคชัน: ผ่านการติด Tag, Pixel, หรือการล็อกอินเข้าใช้งาน
  • ระบบ CRM/ERP: บันทึกข้อมูลการซื้อขายและข้อมูลบัญชีลูกค้า
  • หน้าร้านจริง: ข้อมูลจากการสแกนบัตรสมาชิกหรือการให้เบอร์โทรศัพท์ตอนชำระเงิน
  • อีเมล/SMS/LINE Official Account: ข้อมูลการเปิดอ่านและการโต้ตอบ

3. ความแตกต่างและบทสรุปการใช้งานในทางการตลาด

ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง ZPD และ FPD คือ “จุดเริ่มต้นของข้อมูล” และ “ความตั้งใจของลูกค้า” ในการให้ข้อมูลนั้น ๆ

คุณลักษณะZero-Party Data (ZPD)First-Party Data (FPD)
จุดเริ่มต้นของข้อมูลลูกค้าจงใจบอกถูกเก็บโดยอัตโนมัติ
ความตั้งใจของลูกค้าลูกค้าต้องการให้ แลกกับมูลค่าหรือประสบการณ์ที่ดีขึ้นลูกค้าไม่ได้ตั้งใจให้ แต่เป็นผลพลอยได้จากพฤติกรรม
ข้อมูลที่ได้ความชอบ/ความต้องการ/ความตั้งใจในอนาคตพฤติกรรม/กิจกรรม/การซื้อขายในอดีต
ตัวอย่างคำตอบจากแบบสอบถาม “คุณชอบสินค้าสีใด”ประวัติการเข้าชมสินค้าสีนั้น ๆ บนเว็บไซต์
ประโยชน์หลักสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลทันที (Immediate Personalization)สร้างการแบ่งกลุ่มเป้าหมายและคาดการณ์พฤติกรรม
แนวทางการนำไปใช้ออกแบบสินค้า, แนะนำสินค้าใหม่, ปรับแต่งหน้าเว็บทันทีRetargeting, สร้าง Lookalike Audience, ประเมินความเสี่ยงลูกค้าเลิกใช้

3.1 การผสานพลังของ ZPD และ FPD

นักการตลาดที่ชาญฉลาดจะไม่เลือกใช้ข้อมูลใดข้อมูลหนึ่ง แต่จะผสานพลังของข้อมูลทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน:

  1. FPD สร้างบริบท (Context): ใช้ FPD เพื่อดูว่าลูกค้า “เคย” ซื้ออะไร “เคย” เข้าชมอะไร
  2. ZPD เติมเต็มความตั้งใจ (Intent): ใช้ ZPD เพื่อถามสิ่งที่ FPD ตอบไม่ได้ เช่น ลูกค้าเข้าชมรองเท้ากีฬาหลายรุ่น แต่ “ต้องการรองเท้าสำหรับวิ่งมาราธอน” หรือ “สำหรับใส่ออกกำลังกายเบา ๆ” ซึ่งเป็นข้อมูลที่ต้องถามลูกค้าโดยตรงเท่านั้น
  3. สร้าง Hyper-Personalization: เมื่อรวมกันแล้วจะทำให้เกิดความแม่นยำระดับสูง ตัวอย่างเช่น:
    ระบบเห็น (FPD): คุณคือลูกค้าประจำที่ซื้อชุดออกกำลังกาย
    ระบบถาม (ZPD): “คุณต้องการเสื้อยืดแบบรัดรูป (Compression) หรือหลวม (Relaxed Fit) สำหรับการออกกำลังกายครั้งต่อไป?”

3.2 ความท้าทายและการลงทุน

แม้ว่า ZPD และ FPD จะมีคุณค่ามหาศาล แต่การนำไปใช้ก็มีความท้าทาย:

  • การลงทุนในเทคโนโลยี (Technology Stack): ธุรกิจต้องมีแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งในการรวมข้อมูล FPD จากหลายแหล่งเข้าด้วยกัน (เช่น CDP – Customer Data Platform) และมีเครื่องมือในการสร้างและประมวลผล ZPD (เช่น เครื่องมือทำ Quiz, Poll)
  • การสร้างมูลค่าแลกเปลี่ยน (Value Exchange): การจะให้ลูกค้าให้ ZPD นั้น แบรนด์ต้องนำเสนอสิ่งที่มีคุณค่าตอบแทนทันที เช่น ส่วนลด, การแนะนำผลิตภัณฑ์ที่แม่นยำ, หรือคอนเทนต์พิเศษ
  • การรักษาความเชื่อมั่น: การทำตามสัญญาว่าจะใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการทำผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทำลายความเชื่อมั่นและทำให้ลูกค้าปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล ZPD อีกตลอดไป

บทสรุป

Zero-Party Data และ First-Party Data คือเสาหลักของกลยุทธ์การตลาดที่ยั่งยืนในยุคที่ Privacy กำลังครอบงำตลาด การทำความเข้าใจความแตกต่างของข้อมูลทั้งสองประเภทนี้

การเรียนรู้วิธีการผสานรวมข้อมูลพฤติกรรมในอดีต (FPD) เข้ากับความตั้งใจในปัจจุบัน (ZPD) จะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า แนะนำสินค้าได้อย่างถูกที่ ถูกเวลา และท้ายที่สุดคือการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในโลกการตลาดยุคใหม่ได้อย่างมีจริยธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด

. : รู้จัก PAM Realtime CDP ซอฟต์แวร์การตลาดอัตโนมัติและ CDP ไทย ที่ PAMs.ai : .

Share :

Start using PAM today

Reach every customer steps, make every action count.

Related Blogs

martech-basic

กลยุทธ์วางแผนสื่อโฆษณา (Media Planning) ในยุคข้อมูลส่วนตัวเข้มงวด : [ MarTech Basic EP. 27 ]

   ที่ผ่านมา การตลาดดิจิทัลพึ่งพา “คุกกี้บุคคลที่สาม (Third-Party Cookies)” ในการติดตามพฤติกรรมการท่องเว็บของผู้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการกำหนดเป้าหมายโฆษณา (Targeting) การวัดผล (Measurement) และการนำเสนอโฆษณาซ้ำ (Retargeting) แต่ภูมิทัศน์นี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง    ด้วยการผลักดันของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวดทั่วโลก (เช่น GDPR, CCPA, PDPA) และการตัดสินใจของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี...

martech-basic

เร่งสปีดการตลาดให้ทันสมัย ด้วยหลัก Agile Marketing : [ MarTech Basic EP. 26 ]

ในอดีต ทีมการตลาดมักทำงานภายใต้ “แผนการตลาดประจำปี” ที่มีการกำหนดกลยุทธ์และงบประมาณอย่างตายตัวล่วงหน้าหลายเดือน แต่ในยุคที่ตลาดถูกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและข้อมูล (Data-Driven Era) ความต้องการของลูกค้า พฤติกรรมการบริโภคสื่อ และคู่แข่ง สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วข้ามคืน (เช่น การมาถึงของแอพใหม่ เทรนด์ไวรัล หรือวิกฤตการณ์โลก) แผนการตลาดที่แข็งทื่อและไม่ยืดหยุ่นจึงกลายเป็นภาระมากกว่าความได้เปรียบ จึงต้องหันมาใช้แนวคิดที่เรียกว่า “Agile Marketing” ซึ่งเป็นการนำหลักการทำงานที่เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์...

martech-basic

รู้จัก “Identity Resolution” เพื่อเข้าใจลูกค้าคนเดียวกันในหลากช่องทาง : [ MarTech Basic EP. 25 ]

ในโลกดิจิทัลปัจจุบัน ลูกค้าหนึ่งคน ไม่ได้ติดต่อกับแบรนด์หนึ่งๆผ่านช่องทางเดียวอีกต่อไป เขาอาจจะเริ่มต้นด้วยการดูโฆษณาบน Instagram (มือถือ), ค้นหาสินค้าเพิ่มเติมบน Google (คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ), กดใส่ตะกร้าในแอปพลิเคชัน (แท็บเล็ต), และสุดท้ายตัดสินใจซื้อผ่าน Line Official Account หรือหน้าร้านจริง (In-store) คำถามคือ: คุณมองเห็นกิจกรรมที่แตกต่างกันเหล่านี้เป็นคนคนเดียวกันหรือไม่? หากคำตอบคือ...

martech-basic

ความสำคัญของ Customer Data Platform หรือ CDP ทำไมทุกวงการต้องมีและต้องใช้ ? : [ MarTech Basic EP. 24 ]

   ในโลกธุรกิจปัจจุบัน ข้อมูล (Data) เป็นสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของทุกองค์กรและทุกวงการ แต่ความท้าทายใหญ่ไม่ใช่การขาดแคลนข้อมูล แต่คือ “ข้อมูลที่กระจัดกระจาย” เช่นลูกค้าหนึ่งคนอาจมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ผ่านหลายระบบ เช่น เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, CRM, ระบบ ณ จุดขาย (POS), และฝ่ายบริการลูกค้า    เครื่องมือทางการตลาดแบบดั้งเดิม...