รู้จัก First-Party Data (FPD) ข้อมูลการตลาดที่แบรนด์ครอบครองเอง : [ MarTech Basic EP. 21 ]
martech-basic 29 Oct 2025
Author : superadmin
ที่ผ่านมา โลกการตลาดดิจิทัลเคยพึ่งพา Third-Party Data (ข้อมูลบุคคลที่สาม) อย่างหนัก แบรนด์ต่าง ๆ ใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อข้อมูลพฤติกรรมการท่องเว็บของผู้บริโภคจากตัวกลาง เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดกลุ่มเป้าหมายโฆษณา
แต่ในปัจจุบัน แนวทางนี้กำลังถึงทางตัน เพราะมีทั้งกฎหมายความเป็นส่วนตัว (Privacy Regulations) ต่างๆ เช่น PDPA และ GDPR ซึ่งจำกัดการติดตามข้ามเว็บไซต์ และทั้งมีกระแสยกเลิกการรองรับ Third-Party Cookies โดยเบราว์เซอร์หลัก ๆ เช่น Google Chrome ทำให้แหล่งข้อมูลภายนอกขาดความน่าเชื่อถือและกลายเป็น “ข้อมูลเช่า” ที่พร้อมจะสูญหายได้ทุกเมื่อ
วิกฤตความน่าเชื่อถือ: เมื่อข้อมูล “เช่า” ไม่อาจพึ่งพาได้อีกต่อไป
ดังนั้น องค์กรที่ฉลาดจึงได้หันกลับมาให้ความสำคัญกับ First-Party Data (FPD) ซึ่งเป็น “ข้อมูลที่ตัวเองเป็นเจ้าของ” โดยสมบูรณ์ FPD ไม่ได้เป็นเพียงทางรอดเท่านั้น แต่เป็นรากฐานที่มั่นคงที่สุดสำหรับการสร้างกลยุทธ์การตลาดที่วัดผลได้ แม่นยำ และยั่งยืนในระยะยาว
Part 1 : ทำความเข้าใจ First-Party Data (FPD)
First-Party Data (FPD) คือ ข้อมูลทั้งหมดที่องค์กรเก็บรวบรวมโดยตรงจากความสัมพันธ์กับลูกค้าของตนเอง ผ่านช่องทางที่องค์กรเป็นเจ้าของและควบคุมได้อย่างสมบูรณ์
แหล่งที่มาของ FPD ได้แก่:
- ข้อมูลพฤติกรรมบนเว็บไซต์/แอปพลิเคชัน: การเข้าชมหน้า, การคลิก, เวลาที่ใช้, สินค้าที่ดู, และสินค้าที่ใส่ในตะกร้า
- ข้อมูลธุรกรรม (Transactional Data): ประวัติการซื้อ, ยอดใช้จ่าย, ข้อมูลการคืนสินค้า, ข้อมูลในระบบ CRM (Customer Relationship Management)
- ข้อมูลการมีส่วนร่วม (Engagement Data): การเปิดอีเมล, การคลิกในอีเมล, การตอบแบบสำรวจ (Survey), การมีส่วนร่วมใน Social Media ของแบรนด์
ทำไม FPD จึงเป็นขุมทรัพย์ที่วัดผลได้?
- ความถูกต้องและความแม่นยำ (Accuracy): FPD คือข้อมูลจริงที่เกิดจากการปฏิสัมพันธ์โดยตรงของลูกค้ากับแบรนด์ ซึ่งมีความผิดพลาดน้อยกว่าข้อมูลที่ซื้อจากภายนอก
- ความเกี่ยวข้อง (Relevance): ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนความต้องการและความสนใจที่ เฉพาะเจาะจง ต่อผลิตภัณฑ์และบริการของแบรนด์โดยตรง ทำให้การทำ Personalization มีประสิทธิภาพสูงกว่า
- ความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness): FPD ช่วยลดการพึ่งพาข้อมูลภายนอกที่มีราคาแพงและไร้ประสิทธิภาพ ทำให้งบประมาณโฆษณาสามารถมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้
- ความยั่งยืนและการปฏิบัติตามกฎหมาย (Sustainability & Compliance): เมื่อ FPD ถูกเก็บภายใต้กลไกการให้ ความยินยอม (Consent) ที่ถูกต้องตามกฎหมาย (PDPA/GDPR) มันจึงเป็นสินทรัพย์ที่องค์กรสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจในระยะยาว

Part 2 : การใช้ MarTech เพื่อยกระดับ FPD ให้เป็นกลยุทธ์
การมี FPD จำนวนมากไม่ใช่เรื่องยาก แต่การทำให้ FPD เป็นกลยุทธ์ที่สร้างรายได้ต้องอาศัยเทคโนโลยี MarTech เข้ามาจัดการข้อมูลอย่างมีระบบ
1. Customer Data Platform (CDP): การรวมศูนย์ข้อมูล
เครื่องมือสำคัญที่สุดในการใช้ FPD คือ Customer Data Platform (CDP) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสมองส่วนกลางในการ:
- รวมข้อมูล (Unification): ดึง FPD ที่กระจัดกระจายจากทุกช่องทาง (เว็บไซต์, CRM, แอป, โซเชียล) มารวมไว้ที่เดียว
- สร้างมุมมองเดียวของลูกค้า (Single Customer View): เชื่อมโยงข้อมูลพฤติกรรมเข้ากับตัวตนของลูกค้าแต่ละรายอย่างแม่นยำ (Identity Resolution) ทำให้ทราบว่า นาย A ที่เปิดอีเมลคือนาย A คนเดียวกับที่ซื้อของเมื่อวาน
- การแบ่งกลุ่มเป้าหมาย (Segmentation) ขั้นสูง: ใช้ FPD เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ละเอียดอ่อนกว่าเดิมมาก เช่น “ลูกค้าที่เคยซื้อกาแฟพรีเมียม แต่ตอนนี้เข้าชมหน้าเครื่องชงกาแฟบ่อยขึ้น”
2. การใช้ FPD ในการโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย
FPD ถูกนำมาใช้ในการโฆษณาเพื่อชดเชยการขาดหายไปของ Third-Party Cookies:
- Lookalike Modeling (บน FPD): ใช้ข้อมูลลูกค้าที่ดีที่สุด (FPD) เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีลักษณะคล้ายกันบนแพลตฟอร์มโฆษณา (เช่น Facebook Custom Audiences, Google Customer Match) ซึ่งมีประสิทธิภาพและแม่นยำกว่าการพึ่งพาข้อมูลบุคคลที่สาม
- Suppression List: ใช้ FPD (เช่น ผู้ที่เพิ่งซื้อสินค้าไปแล้ว) เพื่อยกเว้นพวกเขาออกจากการแสดงโฆษณาผลิตภัณฑ์เดิม ทำให้งบโฆษณาไม่สูญเปล่ากับลูกค้าที่ Conversion ไปแล้ว
3. Personalization และ Marketing Automation
FPD เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนแคมเปญ Marketing Automation ที่แม่นยำและถูกจังหวะ:
- Abandoned Cart Recovery: ส่งอีเมลแจ้งเตือนทันทีที่ลูกค้าออกจากเว็บไซต์โดยไม่ซื้อ โดยอ้างอิงจากรายการสินค้าที่ทิ้งไว้ ( Transactional FPD )
- Next Best Offer (NBO): ใช้ FPD ( ประวัติการซื้อและพฤติกรรมการดู ) เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ถัดไปที่มีโอกาสซื้อสูงสุดให้กับลูกค้าแต่ละรายในช่องทางต่าง ๆ ทั้งเว็บไซต์และอีเมล

Part 3: กรณีศึกษาการใช้งาน First-Party Data สู่ความสำเร็จ
เพื่อให้เห็นภาพการประยุกต์ใช้ FPD อย่างเป็นรูปธรรม นี่คือตัวอย่างจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ FPD เป็นหัวใจในการขับเคลื่อนธุรกิจ:
Case Study 1: The New York Times (สื่อดิจิทัล)
อุตสาหกรรม: สื่อและสิ่งพิมพ์ (Subscription-Based Model)
ปัญหา: ต้องการเพิ่มรายได้จากโฆษณาและลดอัตราการยกเลิกการสมัครสมาชิก (Churn Rate)
กลยุทธ์ FPD : The New York Times ใช้ FPD จากพฤติกรรมการอ่านของสมาชิก (หัวข้อที่อ่าน, ความถี่, เวลาที่ใช้) เพื่อ …
- สร้างแพ็กเกจโฆษณาตามบริบท (Contextual Ad Packages): แทนที่จะพึ่งพา Third-Party Data พวกเขาเสนอโอกาสให้ผู้โฆษณาแสดงโฆษณาให้กับกลุ่มผู้อ่านที่มีความสนใจในหัวข้อเฉพาะ (เช่น เทคโนโลยี, อาหาร, การเมือง) โดยใช้ FPD จากหน้าเนื้อหานั้น ๆ ซึ่งมีความแม่นยำและถูกต้องตามกฎหมาย
- ป้องกันการยกเลิก: ใช้ FPD เพื่อระบุสมาชิกที่มีความเสี่ยงสูงที่จะยกเลิก (เช่น อ่านบทความน้อยลง, ไม่เปิดอีเมล) แล้วส่งข้อเสนอหรือเนื้อหาเฉพาะบุคคลเพื่อดึงให้พวกเขากลับมามีส่วนร่วมอีกครั้ง
ผลลัพธ์: การใช้ FPD ทำให้รายได้จากการโฆษณาเพิ่มขึ้น และลดอัตราการยกเลิกสมาชิกอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากพวกเขาสามารถควบคุมประสบการณ์ของลูกค้าได้เอง
Case Study 2: Netflix (ธุรกิจสตรีมมิ่ง)
อุตสาหกรรม : สื่อสตรีมมิ่ง
ปัญหา : การรักษาผู้ใช้ให้อยู่บนแพลตฟอร์มให้นานที่สุด (Retention) และลดความเหนื่อยล้าในการเลือกดู (Decision Fatigue)
กลยุทธ์ FPD : Netflix คือเจ้าแห่งการใช้ FPD พวกเขาเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้ในระดับที่ละเอียดที่สุด เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับ AI:
- Personalized Recommendation Engine : FPD ประกอบด้วย: เวลาที่ใช้ดู, ประเภทที่ดู, อุปกรณ์ที่ใช้, เวลาที่หยุดดู, รายการที่ค้นหา ข้อมูลเหล่านี้ถูกใช้เพื่อแนะนำรายการใหม่ ๆ ที่มีโอกาสสูงที่ผู้ใช้จะชอบ
- Dynamic Thumbnails : แม้แต่รูปภาพปกของภาพยนตร์ (Thumbnails) ก็ถูกปรับเปลี่ยนตาม FPD เช่น หากผู้ใช้มีพฤติกรรมชอบดูภาพยนตร์ที่มีนักแสดงคนหนึ่งมาก Thumbnail ของภาพยนตร์เรื่องเดียวกันก็จะถูกเปลี่ยนไปเน้นหน้านักแสดงคนนั้น เพื่อกระตุ้นให้คลิกดู
ผลลัพธ์ : การสร้างประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับ FPD โดยสมบูรณ์นี้ ทำให้ Netflix มีอัตราการรักษาลูกค้า (Retention Rate) ที่สูงมาก และความสำเร็จของพวกเขาเป็นข้อพิสูจน์ถึงพลังของ FPD ในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ต้องพึ่งพาประสบการณ์ลูกค้า
Case Study 3 : Starbucks (ค้าปลีกอาหารและเครื่องดื่ม)
อุตสาหกรรม: ค้าปลีก/Loyalty Program
ปัญหา : ต้องการสร้างความถี่ในการซื้อ (Frequency) และเพิ่มยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Ticket Size) ผ่านช่องทางดิจิทัล
กลยุทธ์ FPD : Starbucks ใช้แอปพลิเคชันมือถือและโปรแกรม Starbucks Rewards เป็นเครื่องมือหลักในการเก็บ FPD:
- Real-Time FPD Collection : ทุกการซื้อ การสั่งล่วงหน้า และการเติมเงินผ่านแอปฯ กลายเป็น FPD ทันที
- Hyper-Personalized Offerings : ใช้ FPD (เมนูที่สั่งประจำ, เวลาที่เข้าร้าน, สาขาที่ใช้บริการ) เพื่อส่งข้อเสนอส่วนตัวแบบ Just-in-Time เช่น “วันนี้วันอังคาร คุณมักสั่งลาเต้แก้วใหญ่ ลด 20% สำหรับเครื่องดื่มที่คุณชอบวันนี้เท่านั้น” หรือ “คุณยังไม่ได้แวะมาสาขานี้เลย ลองรับขนมคู่กับกาแฟไหม?”
ผลลัพธ์ : การบูรณาการ FPD ทำให้ Starbucks Rewards เป็นโปรแกรม Loyalty ที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยช่วยผลักดันให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และสร้างความรู้สึกเป็นส่วนตัวอย่างลึกซึ้ง
บทสรุป : FPD คือการลงทุนระยะยาวในความสัมพันธ์
ในยุคที่ข้อมูล Third-Party กำลังจะสูญสลาย First-Party Data จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น ความจำเป็นทางธุรกิจ องค์กรที่ลงทุนในการสร้าง MarTech Stack ที่แข็งแกร่ง (โดยมี CDP เป็นหัวใจหลัก) เพื่อรวบรวม, จัดระเบียบ, และนำ FPD มาใช้ในการขับเคลื่อนแคมเปญเท่านั้น ที่จะสามารถ …
- สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน
- ปกป้องตนเองจากความเสี่ยงทางกฎหมายด้านความเป็นส่วนตัว
- สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและมีคุณค่ากับลูกค้าในระยะยาว
ซึ่งการเปลี่ยนโฟกัสจากการ “ซื้อข้อมูล” ไปสู่การ “สร้างและเป็นเจ้าของข้อมูล” คือการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่กำหนดผู้ชนะในโลกการตลาดยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง
. : รู้จัก PAM Realtime CDP ซอฟต์แวร์การตลาดอัตโนมัติและ CDP ไทย ที่ PAMs.ai : .
Share :
Start using PAM today
Reach every customer steps, make every action count.
Related Blogs