กลยุทธ์วางแผนสื่อโฆษณา (Media Planning) ในยุคข้อมูลส่วนตัวเข้มงวด : [ MarTech Basic EP. 27 ]

martech-basic 14 Nov 2025

Author : superadmin

   ที่ผ่านมา การตลาดดิจิทัลพึ่งพา “คุกกี้บุคคลที่สาม (Third-Party Cookies)” ในการติดตามพฤติกรรมการท่องเว็บของผู้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการกำหนดเป้าหมายโฆษณา (Targeting) การวัดผล (Measurement) และการนำเสนอโฆษณาซ้ำ (Retargeting) แต่ภูมิทัศน์นี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

   ด้วยการผลักดันของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวดทั่วโลก (เช่น GDPR, CCPA, PDPA) และการตัดสินใจของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (เช่น Google Chrome ที่ประกาศยกเลิกการรองรับ Third-Party Cookies) ทำให้เรากำลังเข้าสู่ “ยุคที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวเป็นอันดับแรก” (Privacy-First World) หรือที่เรียกว่า “Cookieless Future”

   ความท้าทายนี้บีบให้ นักวางแผนสื่อ (Media Planners) ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากเดิมที่เน้นปริมาณการเข้าถึง (Reach) ไปสู่การเน้นคุณภาพและความแม่นยำในการกำหนดเป้าหมาย โดยต้องใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่องค์กรเป็นเจ้าของโดยตรง คือ First-Party Data (FPD) และ Zero-Party Data (ZPD)

🎯 กลยุทธ์ Media Planning 2.0: เปลี่ยนจากการ “เช่า” เป็นการ “สร้าง”🎯

เดิมที Media Planning ในยุค Third-Party Cookie คือการ “เช่า” หรือ “ซื้อ” ข้อมูลกลุ่มเป้าหมายจากผู้ให้บริการภายนอก

แต่ในยุคใหม่นี้ กลยุทธ์ที่ยั่งยืนคือการ “สร้าง” ฐานข้อมูลลูกค้าของตนเองเพื่อควบคุมการกำหนดเป้าหมายได้อย่างอิสระ โดยการสร้าง FPD หรือ First Party Data ของแบรนด์เอง

FPD คือ ข้อมูลที่เก็บรวบรวมโดยตรงจากปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับแบรนด์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพสูงสุดเพราะมีความแม่นยำและเป็นไปตามความยินยอม (Consent) ของลูกค้าแล้ว

แหล่งที่มาของข้อมูล FPD ( First Party Data ) :

  • เว็บไซต์/แอปพลิเคชัน: ประวัติการเข้าชม, การค้นหา, การกดคลิก
  • ระบบ CRM/POS: ประวัติการซื้อ, ข้อมูลบัญชีสมาชิก, ข้อมูลธุรกรรม
  • อีเมล: อัตราการเปิด/คลิก, การมีส่วนร่วมในแคมเปญ

บทบาทใน Media Planning :

  FPD ใช้ในการสร้าง Custom Audiences ที่มีคุณค่าสูงและแม่นยำในการกำหนดเป้าหมายบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ (เช่น Google Customer Match, Facebook Custom Audiences) และยังสามารถใช้ในการสร้าง Lookalike Audiences ที่มีคุณภาพสูงกว่าเดิม

🎯 การค้นหา Zero-Party Data (ZPD)

ZPD คือ ข้อมูลที่ลูกค้าตั้งใจและเต็มใจที่จะให้โดยตรงกับแบรนด์ เพื่อแลกกับมูลค่าหรือสิทธิประโยชน์บางอย่าง ข้อมูลนี้มีความชัดเจนและโปร่งใสที่สุด

แหล่งที่มาของ ZPD :

  • แบบสำรวจ/โพล: ความชอบในผลิตภัณฑ์, ความสนใจส่วนตัว

  • เครื่องมือค้นหาคำแนะนำ (Quizzes/Recommend Tools): เช่น “สไตล์การแต่งตัวแบบไหนเหมาะกับคุณ?”

  • หน้าการตั้งค่าโปรไฟล์: ลูกค้าเลือกความถี่ในการรับอีเมล หรือประเภทสินค้าที่สนใจ

🎯 บทบาทใน Media Planning :

  ZPD ช่วยให้นักวางแผนสื่อสามารถกำหนดเป้าหมายตาม “ความตั้งใจ” (Intent) และ “ความชอบ” (Preference) ที่ชัดเจน แทนที่จะคาดเดาจากพฤติกรรมเพียงอย่างเดียว ทำให้การสร้างสรรค์โฆษณามีความเกี่ยวข้องและตรงใจผู้ใช้มากขึ้น

🛡️ ทฤษฎีการตลาดที่ขับเคลื่อนโดย Privacy-First 🛡️

   การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับทฤษฎีการตลาดที่เน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และเน้นความสัมพันธ์ระยะยาว

🛡️ 1. การสร้างความไว้วางใจเป็นสินทรัพย์ (Trust as an Asset)

ทฤษฎี :

ในยุคที่ผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องข้อมูล การสร้างความสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่บนความไว้วางใจและความโปร่งใส (Transparency) คือการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

บทบาทของ Privacy-First Media Planning :

  เมื่อแบรนด์ขอข้อมูล ZPD อย่างเปิดเผยและมอบมูลค่าแลกเปลี่ยนที่ชัดเจน (Value Exchange) ลูกค้าจะเต็มใจให้ข้อมูลมากขึ้น ข้อมูล FPD ที่ได้มาจากการสร้างความไว้วางใจนี้จึงมีความมั่นคงและยั่งยืนกว่าข้อมูลที่ถูก “แอบติดตาม”

🛡️ 2. การตลาดแบบความเกี่ยวข้อง (Relevance Marketing)

ทฤษฎี :

ประสิทธิภาพของโฆษณาไม่ได้อยู่ที่จำนวนครั้งที่โฆษณาถูกเห็น (Impression) แต่อยู่ที่ความเกี่ยวข้องของโฆษณานั้นกับผู้รับ (Ad Relevance)

บทบาทของ FPD/ZPD :

  การใช้ ZPD ทำให้แบรนด์รู้ว่าลูกค้าสนใจอะไรอย่างแท้จริง การกำหนดเป้าหมายจึงมีความแม่นยำสูง (Precision Targeting) และสามารถสร้างสรรค์ข้อความโฆษณาที่เฉพาะเจาะจง (Personalized Ad Creative) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่การเพิ่ม ROAS (Return on Ad Spend) ในระยะยาว

🛡️ 3. การใช้โมเดลวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive Analytics)

ทฤษฎี :

การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลยุคใหม่จะเน้นการใช้ Machine Learning เพื่อ คาดการณ์ (Predict) พฤติกรรมในอนาคต แทนที่จะรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต

🛠 บทบาทของ CDP ใน Media Planning 🛠

  แพลตฟอร์มอย่าง CDP (Customer Data Platform) จะทำหน้าที่รวม FPD/ZPD เข้าด้วยกัน และใช้โมเดล ML เพื่อจัดกลุ่มลูกค้าที่มีโอกาสสูงในการซื้อ (High Propensity to Purchase) จากนั้นส่งกลุ่มเป้าหมายนี้ไปยัง Media Channels เพื่อกำหนดงบประมาณโฆษณา (Budget Allocation) อย่างเหมาะสมที่สุด นี่คือการเปลี่ยนจากการ Retargeting based on Past Behavior ไปสู่ Targeting based on Future Prediction

🛠️ กลยุทธ์และเครื่องมือสำหรับนักวางแผนสื่อในยุค Cookieless

นักวางแผนสื่อต้องปรับตัวโดยการมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ควบคุมข้อมูลได้เอง และใช้เทคโนโลยีที่เคารพความเป็นส่วนตัว

🏁 1. Contextual Targeting (การกำหนดเป้าหมายตามบริบท)

เมื่อไม่สามารถติดตามผู้ใช้รายบุคคลได้ การหวนกลับไปใช้ Contextual Targeting จึงมีความสำคัญอีกครั้ง

  • หลักการ: การแสดงโฆษณาบนหน้าเว็บหรือในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่มี เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง กับตัวสินค้า

  • ตัวอย่าง: โฆษณาผลิตภัณฑ์การเงินสำหรับการเกษียณอายุควรแสดงบนบทความที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนการเงินในวัยเกษียณ หรือโฆษณาอุปกรณ์เดินป่าควรแสดงบนเว็บไซต์ท่องเที่ยวเชิงผจญภัย

  • ข้อได้เปรียบ: วิธีนี้เคารพความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ 100% เนื่องจากไม่ได้ติดตามตัวบุคคล

🏁 2. การใช้ ID แบบรวมศูนย์และสากล (Universal/Unified IDs)

ในขณะที่ Third-Party Cookies กำลังจะหมดไป ภาคอุตสาหกรรมกำลังสร้าง Alternate Identifiers ที่ทำงานในระดับที่เคารพความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น:

  • Authenticated IDs: ID ที่สร้างขึ้นจากการที่ลูกค้าล็อกอินด้วยอีเมลที่ผ่านการยืนยัน (Encrypted Email) ซึ่งถูกรวบรวมผ่านองค์กรกลาง (Identity Resolution Providers) เพื่อใช้เป็นฐานในการกำหนดเป้าหมายข้ามเว็บไซต์โดยไม่เปิดเผย PII

  • Publisher First-Party IDs: การที่สำนักพิมพ์หรือเว็บไซต์ขนาดใหญ่สร้าง ID ของตนเองจากผู้ใช้ที่ล็อกอิน และขายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายนี้ให้กับผู้ซื้อสื่อ (Advertisers)

🏁 3. การลงทุนใน Measurement Solution ที่เป็นมิตรต่อความเป็นส่วนตัว

การวัดผล (Measurement) จะมีความซับซ้อนขึ้นเนื่องจากไม่สามารถติดตาม Conversion ได้ทุกจุด นักวางแผนสื่อจึงต้องใช้เทคนิคใหม่:

  • การใช้ Aggregated Data: การวัดผลแบบรวมกลุ่ม (เช่น Google’s Privacy Sandbox หรือ Apple’s SKAdNetwork) ที่จำกัดรายละเอียดข้อมูลของบุคคล แต่ยังคงให้ข้อมูลภาพรวมที่เพียงพอต่อการตัดสินใจ

  • การสร้าง Media Mix Model (MMM): การกลับไปใช้โมเดลทางสถิติที่ประเมินผลกระทบของการลงทุนในช่องทางสื่อต่าง ๆ (ทั้งดิจิทัลและดั้งเดิม) ต่อการขายโดยรวม โดยอิงกับข้อมูลระดับมหภาค (Macro Data)

🌍 ตัวอย่างจริงในโลกธุรกิจ (Case Studies)

🏁 1. ธุรกิจยานยนต์ (Automotive)

บริษัทรถยนต์แห่งหนึ่งใช้ ZPD ในการวางแผนสื่อโฆษณาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่

  • การรวบรวม ZPD: สร้างแบบสอบถามบนเว็บไซต์เพื่อถามความสนใจของลูกค้าว่า “คุณกังวลเรื่องระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งแค่ไหน?” และ “คุณให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีภายในรถยนต์มากน้อยเพียงใด?”

  • Media Planning Action:

    • ลูกค้าที่กังวลเรื่องระยะทาง: กำหนดเป้าหมายด้วยโฆษณาที่เน้นคุณสมบัติแบตเตอรี่และความเร็วในการชาร์จ (Targeting: Financial/Tech News Sites)

    • ลูกค้าที่สนใจเทคโนโลยี: กำหนดเป้าหมายด้วยโฆษณาที่เน้นฟีเจอร์ AI และหน้าจออินโฟเทนเมนต์

ผลลัพธ์: แม้จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายน้อยลง แต่ Engagement Rate และ Lead Quality เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

🏁 2. ธุรกิจ E-Commerce (Health & Wellness)

บริษัทขายอาหารเสริมสุขภาพใช้ FPD เพื่อจัดการงบประมาณ Retargeting

  • FPD Analysis: ใช้ CDP วิเคราะห์ FPD เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า A แต่ยังไม่เคยซื้อสินค้า B (สินค้าใหม่ที่ส่งเสริมกัน)

  • Media Planning Action: ส่งกลุ่มเป้าหมายนี้ไปยัง Paid Social Media Ads เพื่อทำ Cross-Sell โดยเน้นข้อความโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงกับประวัติการซื้อของลูกค้า

  • ผลลัพธ์: สามารถลดการใช้จ่าย Retargeting ทั่วไป (ซึ่งแพงขึ้นเรื่อยๆ) และเปลี่ยนไปใช้ Hyper-Targeted FPD Retargeting ซึ่งมี Conversion Rate สูงกว่าถึง 3 เท่า

💡 สรุป: นักวางแผนสื่อต้องเป็นนักกลยุทธ์ข้อมูล

   Media Planning in a Privacy-First World คือการเปลี่ยนจากการพึ่งพาข้อมูลบุคคลที่สามที่ถูกจำกัด ไปสู่การเป็น “เจ้าของข้อมูลและนักกลยุทธ์ข้อมูล” อย่างเต็มตัว

   นักวางแผนสื่อต้องเปลี่ยนมุมมองจาก “ฉันจะหาคนกลุ่มนี้ได้ที่ไหน?” เป็น “ฉันจะสร้างความสัมพันธ์เพื่อขอข้อมูลที่จำเป็นจากคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร?”

   การลงทุนในเทคโนโลยี CDP เพื่อรวม FPD/ZPD และการให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ที่เคารพความเป็นส่วนตัว เช่น Contextual Targeting และการใช้ Unified IDs จะเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในยุค Cookieless Future นี้

. : รู้จัก PAM Realtime CDP ซอฟต์แวร์การตลาดอัตโนมัติและ CDP ไทย ที่ PAMs.ai : .

Share :

Start using PAM today

Reach every customer steps, make every action count.

Related Blogs

martech-basic

Data Cleaning : การแก้ไขข้อมูลดิบ ก่อนนำเข้า CDP เพื่อใช้งานจริง : [MarTech Basic ep.33]

   ในโลกของข้อมูล การมีเครื่องมือที่ล้ำสมัยอย่าง Customer Data Platform (CDP) นั้นเป็นเรื่องดี แต่เครื่องมือที่ดีที่สุดก็ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากข้อมูลที่ป้อนเข้าไปนั้น “สกปรก” หรือ “ไม่เป็นมาตรฐาน” หลักการพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ข้อมูลยังคงเป็นจริงเสมอ: “Garbage In, Garbage Out”    ข้อมูลที่สกปรก...

martech-basic

Data Modeling for Marketing ออกแบบฐานข้อมูลให้ฉลาด เพื่อการตลาดที่เหนือกว่า : [MarTech Basic ep.32]

ในโลกของการตลาดดิจิทัล เรามีข้อมูลลูกค้ามากมายมหาศาล ทั้งข้อมูลการคลิก, การซื้อ, การแชท, การเปิดอีเมล, หรือการใช้งานแอปฯ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า “มีข้อมูลมากพอหรือไม่” แต่อยู่ที่ว่า “ข้อมูลเหล่านั้นถูกจัดเก็บและเชื่อมโยงกันอย่างมีระบบหรือเปล่า?” 💡 ทำไมมีข้อมูลเยอะ แต่ใช้จริงไม่ได้ ? เปรียบเทียบง่ายๆ ลองนึกภาพห้องสมุดที่มีหนังสือกองรวมกันอยู่บนพื้น แม้จะมีหนังสือล้ำค่ามากมาย แต่ก็ไม่มีใครหามันเจอเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในทำนองเดียวกัน...

martech-basic

การใช้ AI ในงานการตลาด จาก CRM สู่ยุค CDP : [MarTech Basic ep.31]

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลหลั่งไหลไม่หยุดหย่อน การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management – CRM) ไม่ได้เป็นเพียงแค่การบันทึกข้อมูลลูกค้าอีกต่อไป แต่กลายเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความภักดีและขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ การตลาดแบบมุ่งเป้า (Targeted Marketing) ที่แม่นยำและการดูแลลูกค้าที่รู้ใจคือสิ่งที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดและโดดเด่นในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ได้ก้าวเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญที่พลิกโฉมงาน CRM และการบริหารรายชื่อลูกค้าและกลุ่มเป้าหมาย (Lead Management) อย่างสิ้นเชิง...

martech-basic

อีเมลยังไม่ตาย – ธุรกิจยังต้องใช้ เพื่อธุรกรรมกับกลุ่มเป้าหมายและลูกค้า : [ MarTech Basic EP. 30 ]

   ในยุคที่การสื่อสารส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยสื่อโซเชียลและแอป chat ต่างๆ หลายคนอาจเชื่อว่า “อีเมลตายแล้ว” หรือเป็นช่องทางที่ถูกทอดทิ้ง แต่ความจริงคือผู้คนไม่ได้เลิกใช้อีเมล แต่พวกเขาเปลี่ยนวิธีการใช้ อีเมลไม่ได้เป็นช่องทางสำหรับ “การคุยเล่น” หรือ “อัปเดตชีวิต” อีกต่อไป แต่กลายเป็น “ที่เก็บเอกสารและธุรกรรมสำคัญ” และ “ช่องทางสำหรับความสัมพันธ์เชิงอาชีพและเชิงพาณิชย์”    ในยุคที่ผู้บริโภคเผชิญกับ...