
รู้จัก Customer Journey และการจัด Journey Orchestration เพื่อทั้งธุรกิจและลูกค้า : [ MarTech Basic EP.08 ]
martech-basic 30 Aug 2025
Author : superadmin

ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมายและแบ่งกลุ่มพฤติกรรมได้หลากหลาย การทำความเข้าใจ “Customer Journey” (เส้นทางการตัดสินใจของลูกค้า) เป็นอีกหัวใจสำคัญของการตลาด
แต่การเข้าใจเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ เพราะนักการตลาดยุคใหม่พยายาม “ออกแบบและจัดการ customer journey” ด้วย โดยใช้แนวคิดที่เรียกว่า “Journey Orchestration”
เป้าหมายก็เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจซื้อที่เร็วขึ้น มากขึ้น และให้ลูกค้าจดจำและภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าไปพร้อมกันด้วย
ทำความเข้าใจกับ Journey Orchestration
Journey Orchestration คือกระบวนการใช้ข้อมูลและเครื่องมือในการเชื่อมโยงทุกจุดสัมผัส ( touch points ) ของลูกค้าเข้าไว้ด้วยกัน เช่น การค้นหาข้อมูล การทดลองใช้สินค้า การพูดคุยกับพนักงานขาย ไปจนถึงการซื้อและการบริการหลังการขาย, ฯลฯ … เพื่อให้ทุกขั้นตอนสอดคล้องกันมากที่สุด
ซึ่งต่างจากการทำ Customer Journey Mapping ที่เป็นแค่การ “วาดแผนที่” เพื่อเข้าใจเส้นทางลูกค้า …เพราะ journey orchestration คือการ “ควบคุมวงออร์เคสตรา” ให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับประสบการณ์ที่ต่อเนื่อง ไม่สะดุด และได้รับความรู้สึกที่ดีไปด้วย
ทำไม Journey Orchestration จึงสำคัญ
- ลูกค้าและผู้บริโภคคาดหวังการบริการที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น การออกแบบและจัดการ customer journey ทำให้ธุรกิจสามารถส่งมอบสิ่งที่ตรงใจในเวลาที่เหมาะสม
- การแข่งขันสูง ลูกค้ามีตัวเลือกมาก เปลี่ยนไปหาคู่แข่งได้ง่าย หากธุรกิจทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าติดขัดไม่ราบรื่น โอกาสเสียลูกค้าก็สูงขึ้น
- การจัดการต้นทุน เมื่อเข้าใจว่าช่วงใดของ Journey มีผลต่อการตัดสินใจมากที่สุด ธุรกิจสามารถโฟกัสทรัพยากรไปที่จุดนั้น ลดการใช้ต้นทุนที่ไม่จำเป็น
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในโลกจริง

1. ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม
ยกตัวอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตที่ต้องการให้ลูกค้าซื้อซ้ำ ทางร้านก็อาจออกแบบ Journey Orchestration ดังนี้
- ก่อนเข้าร้าน : ส่ง SMS คูปองส่วนลดตามสินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อย
- ในร้าน : พนักงานทักทายด้วยชื่อ พร้อมเสนอแนะสินค้าใหม่ที่ใกล้เคียงกับสินค้าที่ลูกค้าเคยซื้อ
- หลังการซื้อ : ส่งใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์พร้อมคำแนะนำเมนูอาหารที่ทำจากสินค้าที่ลูกค้าซื้อ
2. ร้านอาหารท้องถิ่น
ร้านอาหารเล็กๆ ที่มีลูกค้าประจำสามารถใช้ Journey Orchestration ได้อย่างง่ายดาย เช่น
- เมื่อลูกค้าโทรมาจองโต๊ะ ระบบจดจำว่าลูกค้าคนนี้ชอบนั่งมุมไหน
- พอเข้ามาถึง พนักงานทักด้วยชื่อ พร้อมเสิร์ฟเมนูพิเศษที่เคยสั่งบ่อย
- หลังจากมื้ออาหาร ส่งข้อความขอบคุณและคูปองส่วนลดสำหรับการกลับมาในครั้งถัดไป
… นั่นคือการทำให้ทุก touch point มีความต่อเนื่อง
3. ธุรกิจบริการความงาม
คลินิกเสริมความงามมักต้องสร้างความไว้วางใจสูงสุดให้ลูกค้า Journey Orchestration อาจทำได้โดย
- ก่อนมาใช้บริการ : ส่งข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการทำทรีตเมนต์และรีวิวจากลูกค้าที่เคยทำ
- ระหว่างให้บริการ : พนักงานอธิบายทุกขั้นตอน และจดบันทึกข้อมูลผิวหรือสุขภาพของลูกค้าไว้ในระบบ
- หลังจากบริการ**: ส่งข้อความติดตามอาการ พร้อมแนะนำโปรแกรมต่อเนื่องที่เหมาะกับสภาพผิวของลูกค้า
… เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลอย่างจริงจัง
4. โรงแรมและการท่องเที่ยว
ในธุรกิจโรงแรม การ Orchestrate Journey อาจเกิดขึ้นตั้งแต่
- ลูกค้าค้นหาโรงแรมบนเว็บไซต์ → ระบบแนะนำแพ็กเกจพิเศษที่ตรงกับพฤติกรรมการท่องเที่ยว
- เมื่อ Check-in → พนักงานเรียกชื่อและทราบว่าลูกค้าชอบห้องวิวทะเลหรือห้องชั้นสูง
- หลัง Check-out → ส่งอีเมลสรุปประสบการณ์การเข้าพัก พร้อมเสนอส่วนลดหากจองครั้งต่อไปภายใน 30 วัน
… เพื่อเพิ่มแนวโน้มกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้า
หลักการสำคัญในการทำ Journey Orchestration
- เก็บข้อมูลอย่างรอบด้าน – ข้อมูลลูกค้าจากทุก Touchpoint ต้องถูกนำมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อในร้าน, การสนทนากับ Call Center หรือการรีวิวในโซเชียลมีเดีย
- ใช้เทคโนโลยีสนับสนุน – ระบบ CRM, Data Platform, หรือ AI สามารถช่วยประมวลผลข้อมูลมหาศาลและแนะนำเส้นทางที่เหมาะสม
- สร้างประสบการณ์ต่อเนื่อง – ทุกฝ่ายในองค์กรควรเข้าใจว่าเป้าหมายคือ “ประสบการณ์ลูกค้า” ไม่ใช่เพียงแค่ารขายในแต่ละแผนก
- ปรับแต่งตามเวลา – ความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา Journey Orchestration ต้องสามารถปรับเปลี่ยนได้แบบเรียลไทม์
ความท้าทาย
แม้ Journey Orchestration จะเต็มไปด้วยประโยชน์ แต่ธุรกิจต้องเผชิญความท้าทาย เช่น:
- จัดการข้อมูลจำนวนมาก – หากไม่มีระบบรองรับ ข้อมูลจากหลายช่องทางอาจกระจัดกระจาย
- สร้างสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวและการใช้ข้อมูล – ลูกค้าต้องรู้สึกว่าได้รับการดูแล ไม่ใช่ถูกสอดส่อง
- ทำงานร่วมกันของหลายแผนก – หากแผนกขาย, การตลาด และบริการลูกค้าไม่สอดประสานกัน Journey ก็อาจสะดุดได้

รู้จัก PAM ซอฟต์แวร์ระบบ CDP ที่ใช้ทำ Journey Orchestration ได้
PAM เป็นแพลตฟอร์มไทย มีทีมงานบริการในไทย มีเครื่องมือหลากหลาย เช่น Personalized Automation เก็บและแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อส่งข้อความอัตโนมัติได้อย่างเหมาะสม ตรงกับความสนใจ พฤติกรรม หรือความต้องการของลูกค้าแต่ละราย ได้หลากหลายช่องทาง เช่น email, LINE, SMS, หรือ Notification
นอกจากนั้น PAM ยัง สามารถเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มและระบบอื่นๆที่ธุรกิจใช้งานอยู่ เช่น E-commerce platform (Magento, Shopify, Lazada), CRM (Salesforce), ระบบ POS หลากหลาย, และช่องทางอื่นๆ
ตัวอย่างเช่นเครื่องมือช่วยส่งเมลต้อนรับอัตโนมัติเมื่อสมัครสมาชิก, ส่งข้อเสนอพิเศษเมื่อลูกค้ามีวันเกิด, หรือการแจ้งเตือนเมื่อสินค้าในตะกร้าถูกทิ้งไว้, ติดตามผลหลังการซื้อ. หรือการกระตุ้นลูกค้าที่เลิกใช้งาน, ฯลฯ
PAM ยังสามารถทำ “Trigger-based Automation” คือตั้งค่าการทำงานอัตโนมัติโดยมีเงื่อนไข (triggers) เป็นตัวกระตุ้น เช่น เมื่อลูกค้าคลิกเว็บไซต์บางหน้า, ทำการซื้อ, หรือไม่ตอบสนองต่อข้อความที่ส่งไป ระบบจะตอบสนองด้วยการส่งข้อความที่เกี่ยวข้องในทันทีผ่านช่องทางที่เหมาะสม เช่น Email, LINE, SMS, Push Notification
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นไปตามกฎหมายด้าน PDPA ในประเทศไทย ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างถูกต้องตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
. : รู้จัก PAM Realtime CDP เพิ่มเติมที่ PAMs.ai : .
สรุป
Journey Orchestration คือการก้าวต่อจาก Customer Journey Mapping สู่การ “ควบคุมและออกแบบ” การเดินทางของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจที่ทำได้จะไม่เพียงแค่ขายสินค้า แต่สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้จริง
ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าปลีก ร้านอาหาร ธุรกิจบริการความงาม หรือโรงแรม ทุกธุรกิจสามารถใช้แนวทางนี้ได้ หากเข้าใจจุดสัมผัสลูกค้าและประสานงานอย่างเป็นระบบ
สุดท้ายนี้ Journey Orchestration ไม่ได้เป็นแค่กลยุทธ์ แต่คือ “ศิลปะในการทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ” ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าทุกคนโหยหามากที่สุดในยุคนี้
( ภาพประกอบจาก freepik.com )
Share :
Start using PAM today
Reach every customer steps, make every action count.