เจาะตำนาน Shopify จากร้านขายสโนว์บอร์ดสู่แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ : [ MarTech People EP.12 ]

martech people 06 Nov 2025

Author : superadmin

Shopify เป็นมากกว่าแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ แต่คือผลผลิตจากความหงุดหงิดและความมุ่งมั่นทางเทคนิคของกลุ่มเพื่อนผู้รักสโนว์บอร์ดสามคน คือ Tobias Lütke (โทเบียส ลุทเค่), Daniel Weinand (แดเนียล ไวนานด์) และ Scott Lake (สกอตต์ เลค)

เรื่องราวของ Shopify คือการเปลี่ยนแปลงจากความพยายามในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของธุรกิจขนาดเล็ก ไปสู่การสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าปลีกทั่วโลก

1. ปมปัญหาและฉากหลัง: ความไม่ลงตัวของเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซยุค 2004

จุดเริ่มต้นของ Shopify เกิดขึ้นในเมืองออตตาวา ประเทศแคนาดา เมื่อ Lütke, Weinand และ Lake ตัดสินใจทำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์เพื่อขายอุปกรณ์สโนว์บอร์ดคุณภาพสูงที่พวกเขาชื่นชอบ โดยใช้ชื่อร้านว่า “Snowdevil”

Tobias Lütke: หัวใจด้านเทคนิคและปรัชญาโค้ดที่สะอาด

Tobias Lütke เป็นโปรแกรมเมอร์คอมพิวเตอร์ชาวเยอรมัน-แคนาดา ที่มีพื้นฐานการทำงานในยุโรป และมีความเชื่อมั่นในปรัชญาการเขียนโค้ดที่ “สะอาด, มีประสิทธิภาพ, และยืดหยุ่น” เขาเป็นผู้ที่หลงใหลใน Ruby on Rails อย่างมาก ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์กที่ส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่รวดเร็วและมีโครงสร้างที่ดี

เมื่อพยายามจะสร้างร้าน Snowdevil Lütke ได้ลองใช้โซลูชันอีคอมเมิร์ซแบบสำเร็จรูปที่มีอยู่ในตลาดขณะนั้นเกือบทั้งหมด และพบกับความผิดหวังอย่างรุนแรง

  1. ปัญหา Monolithic Architecture: ระบบอีคอมเมิร์ซในยุคนั้นส่วนใหญ่ถูกสร้างแบบ Monolithic (ระบบรวมศูนย์) ทุกส่วนของซอฟต์แวร์ถูกผูกมัดไว้ด้วยกัน การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่, การปรับแต่งหน้าตาเว็บไซต์, หรือแม้แต่การเชื่อมต่อกับระบบภายนอก ล้วนเป็นงานที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน

  2. ขาดความคล่องตัวในการตลาด: ระบบเก่าเหล่านี้ไม่เอื้อต่อการตลาดดิจิทัลที่ต้องการความคล่องตัว (Agility) การสร้าง A/B Testing หรือการปรับปรุง Customer Experience (CX) อย่างรวดเร็วนั้นเป็นไปไม่ได้เลยภายใต้ข้อจำกัดทางเทคนิคเหล่านั้น
  3. ต้นทุนและค่าธรรมเนียมสูง: ระบบมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงมาก และมักเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน ทำให้ไม่เหมาะกับผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจด้วยต้นทุนต่ำ

Lütke ตระหนักว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่ปัญหาของร้าน Snowdevil แต่เป็นปัญหาของตลาดซอฟต์แวร์อีคอมเมิร์ซโดยรวม เขาจึงตัดสินใจว่า “ฉันจะสร้างเครื่องมือที่ดีกว่านี้ขึ้นมาเอง”

2. การสร้างต้นแบบและเปลี่ยนโฟกัส (ปี 2004–2006)

Lütke ใช้เวลาประมาณสองเดือนในการเขียนโค้ดแพลตฟอร์มสำหรับ Snowdevil โดยใช้ Ruby on Rails ซึ่งช่วยให้เขาสามารถสร้างระบบที่ปรับแต่งได้ง่าย มีประสิทธิภาพ และมีอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่ใช้งานง่ายกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด ระบบนี้ถูกตั้งชื่อรหัสภายในว่า “Jaded Pixel” (สื่อถึงความเบื่อหน่ายต่อเทคโนโลยีเก่า ๆ)

Scott Lake: ผู้ผลักดันเชิงกลยุทธ์

ในขณะที่ Lütke และ Daniel Weinand (ผู้เชี่ยวชาญด้านประสบการณ์ผู้ใช้และการออกแบบ) มุ่งเน้นไปที่การสร้างร้านสโนว์บอร์ดให้ดีที่สุด Scott Lake ผู้มีสายตาเฉียบแหลมด้านธุรกิจ กลับเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่า

  • การเปลี่ยนจาก “ผู้ค้าปลีก” เป็น “ผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐาน”: Lake สังเกตเห็นว่าซอฟต์แวร์ที่พวกเขาพัฒนาเองนั้นมีศักยภาพในการแก้ปัญหาให้ผู้ค้าปลีกรายอื่น ๆ ทั่วโลก เขาได้โน้มน้าวเพื่อนร่วมทีมว่าภารกิจที่แท้จริงของพวกเขาไม่ใช่การขายสโนว์บอร์ด แต่คือการ “สร้างแพลตฟอร์มที่ทำให้การค้าขายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน” (Democratize Commerce)

  • การตั้งชื่อแบรนด์: Lake ยังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนชื่อจาก Jaded Pixel เป็น Shopify ในปี 2006 ซึ่งเป็นชื่อที่สื่อถึงการช้อปปิ้งและความง่าย (Simplify Shopping) ที่จดจำได้ง่ายกว่ามาก

การให้ความสำคัญกับ User Experience (UX)

ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคน คือ Daniel Weinand มีส่วนสำคัญในการออกแบบประสบการณ์การใช้งาน (UX) ของแพลตฟอร์มตั้งแต่แรกเริ่ม ทำให้ Shopify มีจุดเด่นเรื่องความเรียบง่ายของแดชบอร์ดและการตั้งค่าร้านค้า

นั่นทำให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิคสามารถ “Go Live” ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการแข่งขันกับแพลตฟอร์มเก่า ๆ ที่มีอินเทอร์เฟซซับซ้อน

3. กลยุทธ์ MarTech: การสร้างระบบนิเวศด้วย API-First (ปี 2009)

Shopify ตัดสินใจครั้งสำคัญที่ส่งผลให้บริษัทกลายเป็นผู้นำในโลกอีคอมเมิร์ซ นั่นคือการเลือกที่จะเป็น “แพลตฟอร์มเปิด” ผ่านการเปิดตัว Shopify App Store และ API (Application Programming Interface)

การสอดคล้องกับ Composable Architecture:

การตัดสินใจนี้สอดคล้องกับแนวคิด Composable Architecture ในโลก MarTech อย่างสมบูรณ์:

  • การไม่ผูกขาดฟีเจอร์: Shopify ตระหนักว่าไม่สามารถสร้างเครื่องมือการตลาดที่ดีที่สุดทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง (เช่น Email Marketing, Loyalty Programs, Advanced Analytics)

  • การสร้าง Ecosystem: การเปิด API ทำให้ Shopify กลายเป็น “ศูนย์กลาง” ที่เชื่อมโยงผู้ค้าเข้ากับ นักพัฒนาภายนอก (Third-party Developers) ทั่วโลก นักพัฒนาเหล่านี้จะสร้าง แอปพลิเคชัน (หรือ PBCs – Packaged Business Capabilities) ที่ดีที่สุดในแต่ละด้านมาเสริมฟังก์ชันการตลาด

  • ความยืดหยุ่นทางการตลาด: ผู้ค้า Shopify สามารถเลือกและประกอบ (Compose) เครื่องมือการตลาดที่พวกเขาต้องการเข้ากับร้านค้าของตนได้อย่างอิสระ ทำให้แต่ละร้านสามารถมี MarTech Stack ที่ปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของตัวเอง

เมื่อเทคโนโลยีการแสดงผล (Frontend) พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว (เช่น เทคโนโลยี JavaScript Frameworks อย่าง React และ Vue) และลูกค้าต้องการประสบการณ์บนช่องทางที่ไม่ใช่เว็บไซต์ (เช่น แอปมือถือ, AR/VR, โซเชียลมีเดีย), Shopify ก็ได้ปรับตัวครั้งใหญ่อีกครั้ง

Shopify Plus และ Storefront API:

  • การแยกส่วน (Decoupling): Shopify เปิดตัว Shopify Plus สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่และเปิดใช้งาน Storefront API อย่างจริงจัง

  • พร้อมเป็นเบื้องหลัง : Storefront API อนุญาตให้ผู้ค้าใช้ Shopify เป็นเพียง “Backend” (ระบบจัดการสินค้าคงคลัง, ระบบชำระเงิน, ระบบคำนวณภาษี) ในขณะที่ส่วนแสดงผล (Frontend) ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า

4. การผนวก AI และอนาคตของการค้าขาย

ในช่วงทศวรรษล่าสุด Shopify ยังคงเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม โดยการนำ Generative AI เข้ามาปรับใช้ในแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว

  • AI ในการสร้างคอนเทนต์ :
     
     Shopify ได้รวม AI Tools เข้าไปในแดชบอร์ด เพื่อช่วยผู้ค้าในการ สร้างคำบรรยายสินค้า (Product Descriptions), สร้างอีเมลแคมเปญ, หรือ สร้างข้อความโฆษณา ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยลดภาระงานด้าน Content Marketing ของผู้ค้า SMEs ลงอย่างมาก

  • การลงทุนใน Logistics และ FinTech :
     
     Shopify ยังขยายขอบเขตไปสู่บริการเสริม เช่น Shopify Fulfillment Network (ระบบคลังสินค้า) และ Shopify Balance (บริการทางการเงิน) เพื่อจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อนของผู้ค้าปลีกสมัยใหม่ได้อย่างครบวงจร

สรุป

เรื่องราวของ Shopify คือการนำความเชี่ยวชาญทางเทคนิคของ Tobias Lütke มาผนวกกับวิสัยทัศน์ทางธุรกิจของ Scott Lake และความใส่ใจในประสบการณ์ผู้ใช้ของ Daniel Weinand เพื่อสร้างแพลตฟอร์มที่ไม่ได้เป็นเพียงเว็บไซต์ แต่เป็น โครงสร้างพื้นฐาน MarTech ที่ยืดหยุ่น ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้ประกอบการทุกขนาดสามารถแข่งขันได้ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

. : รู้จัก PAM Realtime CDP ซอฟต์แวร์การตลาดอัตโนมัติและ CDP ไทย ที่ PAMs.ai : .

Share :

Start using PAM today

Reach every customer steps, make every action count.

Related Blogs

martech people

รู้จัก Snowplow ซอฟต์แวร์ที่มุ่งให้องค์กรใช้ข้อมูลของตัวเองได้เต็มที่ : [ MarTech People EP.11 ]

Snowplow คือบริษัทซอฟต์แวร์ที่มุ่งช่วยให้องค์กรต่างๆเก็บรวบรวมข้อมูลทุกการกระทำหรือทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มดิจิทัลของบริษัทนั้นๆ เช่น เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันมือถือ แล้วนำมาจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้ธุรกิจสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์และทำความเข้าใจลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง

martech people

รู้จัก Snowflake หนึ่งในผู้บุกเบิกซอฟต์แวร์คลังข้อมูลบนคลาวด์ : [ MarTech People EP. 10]

Snowflake เป็นบริษัทซอฟต์แวร์คลาวด์ที่นำเสนอ คลังข้อมูลแบบ Software-as-a-Service (SaaS) ซึ่งปฏิวัติวงการการจัดการข้อมูลอย่างสิ้นเชิง ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 โดยสามวิศวกรซอฟต์แวร์ผู้มากประสบการณ์จากบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างแพลตฟอร์มคลังข้อมูลที่ใช้งานง่าย ยืดหยุ่น และมีประสิทธิภาพ สามารถรองรับการเติบโตของข้อมูลได้

martech people

รู้จัก Marketo หนึ่งในบริษัทที่ร่วมบุกเบิกวงการ Marketing Automation : [ MarTech People EP.09 ]

Marketo เป็นซอฟต์แวร์การตลาดอัตโนมัติรายแรกๆในโลก ช่วยเก็บข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าออนไลน์ เช่นรู้ว่าลูกค้าคนไหนสนใจสินค้าอะไร เข้าเว็บไซต์กี่ครั้ง เปิดอีเมลกี่ฉบับ รวมถึงการดูแลลูกค้าแบบอัตโนมัติ ทำงานเองได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้ทีมขายได้ลูกค้าที่มีคุณภาพและพร้อมซื้อ

martech people

ย้อนตำนานบริษัท ServiceNow หนึ่งในผู้บุกเบิกซอฟต์แวร์ผ่านคลาวด์ : [ MarTech People EP.08 ]

บริษัท ServiceNow ถือเป็นหนึ่งรายที่บุกเบิกอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเภท Software as a Service หรือ SaaS โดยเริ่มต้นจากผู้ก่อตั้งคือ Fred Luddy ที่กว่าจะเริ่มเป็นผู้ประกอบการเทคฯ ก็อายุเกือบ 50 ปีแล้ว